วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

รวมวรรณคดีไทย











เรื่องย่อทั้งหมด กากี ท้าวพรหมทัตกษัตริย์แห่งนครพาราณสีมีพระมเหสีรูปงามกลิ่นกายหอม ชื่อว่านาง กากีพระองค์รักและหลงใหลนางกากี ไม่ให้มหาดเล็กคนสนิทที่เป็นชายเข้าใกล้หรือได้เห็น ยกเว้น ที่จำเป็นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในหนุ่มคนสนิทที่สามารถเข้าใกล้นางกากีได้ คือ “นาฏกุเวร” ผู้เป็นคนธรรพ์รูปงาม มีหน้าที่บรรเลงดนตรี แต่งกลอน ขับกล่อม ให้แก่ ท้าวพรหมทัต ในยามที่พระองค์เล่นสกา กีฬาโปรดปรานกับพระสหายสนิทตามปรกติ คนธรรพ์ เป็นกึ่งมนุษย์ กึ่งเทวดา ที่มีความสามารถสูง ยิ่งเป็นนาฏกุเวรผู้มีความ เปรื่องปราชญ์ก็ยิ่งเป็นที่รักใครไว้วางพระทัยของท้าวพรหมทัต
นอกจากพระประยูรญาติที่ท้าวพรหมทัตโปรดให้เล่นสกาด้วยแล้ว พระองค์มีสหาย สนิทผู้มีความลึกลับที่มีฝีมือการทอดสกา เทียบเท่าพระองค์ นามว่าเวนไตย เวนไตยเป็น พญาครุฑ ที่มีวิมานชื่อ ฉิมพลี ตั้งอยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุเหนือดงงิ้ว ผู้มีร่างมาเป็นมานพ รูปร่างสง่างามในเมืองมนุษย์ เวนไตยไม่ยอมบอกว่าตัวเองมาจากที่ไหนแต่ก็มาเล่นสกากับ ท้าวพรหมทัตอย่างสม่ำเสมอทุกๆเจ็ดวัน
คำร่ำลือถึงความสง่างามของพญาเวนไตย จากสนมกำนัลมาเข้าหูนางกากี นางกากี ลองแอบดูครั้งหนึ่งก็พอดีกับเวนไตยมองมาทั้งคู่ต่างตื่นเต้นในความงามของกันและกันทำ ให้เวนไตยถึงกับทำอุบายลักพานางกากีไปจากท้าวพรหมทัต โดยการจำแลงตัวเป็นพญา ครุฑบินไปบังแสงอาทิตย์ที่ส่องเมืองพาราณสี ทำให้เมืองมืดมิดและอลหม่านจากการเกิด พายุใหญ่กระหน่ำ เวนไตยฉวยโอกาสนี้พาตัวนางกากี ไปสมสู่ ณ วิมานฉิมพลี เนื่องจาก นางกากีก็พึงพอใจเวนไตย เมื่อยามเป็นชายหนุ่มรูปร่างสง่างามในวิมานฉิมพลี
ท้าวเทวทัตเป็นทุกข์ระทมเมื่อนางกากีมเหสีสุดสวาทได้หายไปไม่สามารถตามหาได้ นาฏกุเวร ผู้แอบหลงรักในรูป และกลิ่นกาย ของนางกากีอาสานำตัวนางกากีกลับ เพราะรู้ ระแคะระคาย เนื่องจากเหตุการณ์ในวันที่เวนไตย สบตากับนางกากีไม่พ้นจากสายตาของ คนธรรพ์หนุ่มนี้ไปได้ นาฏกุเวร ได้ผูกกลอนขับกล่อมขณะที่เวนไตยเล่นสกากับ ท้าว พรหมทัตจนสังเกตความผิดปรกติของเวนไตยได้ เมื่อท้าวพรหมทัตทรงอนุญาต การเล่น สกาครั้งต่อมา นาฏกุเวรจึงแปลงร่างเป็นตัวไรเกาะปีกเวนไตย เมื่อเขากลายเป็นพญาครุฑ ตามไปถึงวิมานฉิมพลี เมื่อเวนไตยออกไปปฏิบัติภารกิจนอกวิมานก็คืนร่างเป็นนาฏกุเวรคน เดิม ด้วยความเสน่หาที่มีต่อนางกากี นาฏกุเวรก็ขอร่วมอภิรมย์สมสู่กับนางกากีโดยขู่ว่าจะ ไม่เปิดเผยความลับ ระหว่างเวนไตยกับนาง นางกากีเห็นว่า นาฏกุเวรเปิดเผยว่ารักใคร่ตัว นางมาก่อน ก็ยอมสมสู่ด้วย
เมื่อถึงกำหนดนัดเล่นสกากับท้าวพรหมทัต นาฏกุเวรก็จำแลงเป็นตัวไร เกาะปีพญา ครุฑ เวนไตยกลับเมืองพาราณสี และได้กราบทูลให้ท้าวพรหมทัต ทำเป็นไม่ทราบเรื่อง ระหว่างการเล่นสกา นาฏกุเวรก็แต่งกลอนยั่วยุให้เวนไตยโกรธ โดยพรรณาถึงรายละเอียด ทุกอย่างที่นางกากีมีแสดงว่า นาฏกุเวรได้ร่วมอภิรมย์รัก โดยนางกากีก็สมัครใจ เวนไตย โกรธมากที่นางกากีทรยศต่อตัวเองเมื่อกลับไปก็คาดคั้นเอาความจริงกับนางกากีแต่นางกากี ยอมรับตอนหลัง อ้างว่าถูกบังคับ ซึ่งเวนไตยไม่เชื่อ และส่งนางกากีกลับคืนเมืองพาราณสี ท้าวพรหมทัตทั้งรักทั้งแค้นทั้งอับอายทรงตัดเยื่อใยนางกากีและสั่งให้มหาดเล็กนำไปลอย แพในมหาสมุทร
นางกากี ต้องเผชิญเคราะห์กรรม อย่างแสนสาหัส เมื่อนายสำเภามาพบนางสลบ ไสลบนแพ เรือนร่างที่สวยงาม ย่อมเป็นที่หมายปองของนายสำเภา เขาจึงได้นางกากีเป็น ภรรยา ต่อมาโจรสลัดได้ปล้นเรือนายสำเภาและหัวหน้าโจรบังคับนางกากีให้เป็นภรรยาอีก ท่ามกลางความอิจฉาริษยา ของสมุนโจร เพราะหัวหน้าโจร ไม่ยอมแบ่งผู้หญิงให้เหมือน รายอื่นๆ
ในที่สุดก็เกิดการแก่งแย่งนางกากีกันในหมู่โจรถึงกับฆ่าฟันกันเองนางกากีฉวยโอกาส หลบหนีพวกโจรได้แต่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายในป่าจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดโชคดียัง เป็นของนางกากีที่บังเอิญมีกษัตริย์ชรานามว่า ท้าวทศวงศ์ ผู้เป็นหม้ายแห่งเมืองไพศาลี เสด็จมาเที่ยวป่าได้นำนางกากีไปชุบเลี้ยงเป็นถึงมเหสี
นางกากีไม่บอกความจริงให้ท้าวทศวงศ์ เพราะกลัวความไม่ดีของตน จะทำให้ท้าว ทศวงศ์ไม่รับอุปการะ จิตใจของนางยังไม่เป็นสุข ถึงจะได้เป็นถึงมเหสี แต่ท้าวทศวงศ์ก็ ทรงโปรดปรานมเหสีร่างงามและกลิ่นกายหอม
ตั้งแต่ท้าวพรหมทัตลอยแพ นางกากีไป ก็ไม่มีความสุขกลับต้องระทมทุกข์ ถึงกับ ประชวรและสวรรคตในเวลาต่อมา เนื่องจากพระองค์ไม่มีทายาทข้าราชบริพารจึงได้เลือก ผู้ที่เป็นที่รักใคร่ของประชาชน และมีปัญญาเฉียบแหลม ขึ้นครองราชย์แทน นาฏกุเวร ได้รับเลือกเป็กษัตริย์ แทนท้าวพรหมทัต คนธรรพ์หนุ่มผู้เป็นกษัตริย์ ก็ยังรักอาลัยนางกากี อยู่ได้สืบจนทราบว่านางกากีได้เป็นมเหสีของท้าวทศวงศ์ นาฏกุเวรจึงส่งสารทวงนางกากี ในฐานะที่เคยเป็นมเหสีของกษัตริย์เมืองพาราณสีมาก่อน แต่เมืองไพศาลีไม่ยอม จึงได้เกิด สงครามระหว่างสองเมืองในที่สุดนาฏกุเวรก็ยึดเมืองไพศาลีได้ และรับนางกากีกลับมาเป็น มเหสีสมใจปรารถนา
















มโนห์รา หรือ พระสุธนคำฉันท์
เรื่องย่อทั้งหมด
ในกาลปางก่อน พระเจ้าอาทิตยวงศ์เป็นกษัตริย์ครองเมืองปัญจาลนคร พระมเหสีี ชื่อพระนางจันทราเทวี ต่อมาพระมเหสึมีพระโอรสซึ่งเมื่อประสูติ ก็บังเกิดขุมทองสี่ขุม ขึ้น ที่มุมปราสาทสี่มุม พระเจ้าอาทิตยวงศ์จึงประทานนามให้ว่า "พระสุธน" (แปลว่ามีทรัพย์ประเสริฐ-มีทรัพย์มาก) บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก พระสุธน ราชกุมารก็ศึกษาวิชาการมีฝีมือทางการยิงธนู วันหนึ่งนายพรานบุณฑริกชาวเมืองปัญจาลนคร เข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึกพบกลุ่ม นางกินนรีพี่น้องเจ็ดตนมาเล่นน้ำที่สระ นายพรานเห็นนางกินนรีงดงาม คิดจะจับนาง ไปถวายพระสุธน จึงแอบเข้าไปใกล้ ๆ เห็นกองปีกหางของนางกินนรีจึงหยิบไว้ชุดหนึ่ง ส่วนนางกินนรีทั้งเจ็ด เมื่อเล่นน้ำเสร็จก็กลับขึ้นมาใส่ปีกใส่หาง นางมโนห์ราน้องสาว คนสุดท้องหาปีกหาหางของตนไม่พบ ก็ไม่าสมารถบินกลับ พี่ ๆ ทั้งหกก็จำต้องทิ้ง นางไป พรานบุณฑริกจึงนำบ่วงมาคล้องนางไป และนำไปถวายพระสุธน พระสุธน ยินดีมากจึงประทานทองคำและแก้วแหวนเงินทองให้แก่นายพราน พระเจ้าอาทิตยวงศ์ และนางจันทราเทวี ก็จัดงานอภิเษกสมรส พระสุธนกับนางมโนห์รา ต่อมามีข้าศึกยกมาตีเมืองปลายเขตแดน พระสุธนจึงต้องยกทัพไปปราบ พราหมณ์ปุโรหิตผู้หนึ่งซึ่งเคยคุ่นเคืองใจ กับพระสุธน ก็แกล้งเท็จทูลพระเจ้า อาทิตยวงศ์ว่านางมโนห์ราเป็นกาลกิณี ควรจะจัดบูชายัญ เพื่อให้บ้านเมืองเป็นสุข พระเจ้าอาทิตยวงศ์ไม่เต็มพระทัย เพราะทรงทราบดีว่านางมโนห์ราเป็นที่รักอย่างยิ่ง ของพระสุธน แต่ขัดความเห็นของเสนาอำมาตย์ไม่ได้ จึงยอมพระทัยจัดพิธีบูชายัญ นางมโนห์ราเมื่อทราบก็ยินยอมให้ฆ่าบูชายัญ แต่ขอปีกขอหางมาประดับเพื่อร่ายรำ บูชา พระนางจันทราเทวีก็รีบนำปีกและหางของนางกินนรี ซึ่งพระสุธนฝากไว้มาให้ นางมโนห์ราร่ายรำจนร่างกายคล่องแคล้ว แล้วนางก็บินกลับไปยังเขาไกรลาสถิ่นที่อยู่ ระหว่างทางนางได้แวะมากราบพระฤาษีกัสสปในป่า และฝากผ้ากัมพลและพระ ธำมรงค์ไว้ให้พระสุธน ถ้าพระสุธนตามนางมาถึงพระอาศรมของฤาษี และให้ห้าม ปรามพระสุธนว่าไม่ควรตามนางไปเพราะทางยากลำบากมากแต่ถ้าพระสุธนยังดื้อดึง ที่จะไปก็ขอให้มอบยาผงนี้ให้แก่พระสูธนและให้บอกพระสุธนว่า เมื่อถึงป่าไม้มีพิษให้ จับลูกลิงไปตัวหนึ่ง เมื่อจะเสวยผลไม้ใดต้องปล่อยให้ลูกลิงกินก่อนแล้วจึงเสวยและเมื่อ ถึงป่าหวายใหญ่ ให้เอาผ้ากัมพลคลุมตัวให้แน่น นกหัสดีลิงค์จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อกวาง ก็จะโฉบลงมาคาบตัวไป พอถึงรังนกก็ให้ตบมือนกจะตกใจบินหนีไป พระสุธนก็จะ เดินทางต่อไปพบพญาช้างสองตัวต่อสู้กันขวางทางอยู่ ให้เอายาผงทาทั่วตัว แล้วเดิน ลอดไประหว่างขาช้าง เมื่อเดินทางต่อไปจะพบภูเขาชนกันก็ให้ใช้ยาผงทาตัวแล้วเดิน ไประหว่างช่องเขา ต่อไปจะพบยักษ์สูงเจ็ดชั่วลำตาล ยืนขวางทางให้ใช้ยาผงโรย ลูกศรแล้วยิงให้ถูกอกยักษ์ เมื่อยักษ์ล้มให้เดินไปทางหัวของยักษ์ ต่อไปถึงป่าทึบไม่มี ทางออกให้ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ในรังนกยักษ์ และเมื่อนกยักษ์บินออกหากินก็ให้ซ่อนตัว อยู่ในปีกของนก พอนกลงหากินก็รีบลงเพราะที่นั่นจะเป็นเขาไกรลาส แล้วนางมโนห์ราก็กราบลาพระฤาษีบินไปยังเขาไกรลาส ท้าวทุมราชบิดา ของนางถึงแม้จะยินดีที่นางกลับมาแต่เนื่องจากนางไปอยู่โลกมนุษย์เป็นเวลานานจึงให้ นางอยู่ในปราสาทต่างหาก และเมื่อครบเจ็ดวันตามเวลาของเขาไกรลาส ก็จะทำพิธี มงคลชำระสระสรงนางมโนห์ราให้หมดกลิ่นสาบของมนุษย ์ ฝ่ายพระสุธนเมื่อขับไล่ ข้าศึกไปได้แล้วก็รีบกลับพระนครพอรู้ว่านางมโนห์ราบินหนีไปแล้ว ก็เสียพระทัยมาก รีบทูลลาพระบิดาและพระมารดาเพื่อติดตามนางมโนห์รา พระสุธนเดินทางไปพบ พระฤาษีกัสสป และได้ทราบความที่นางฝากไว้พระสุธนก็มิได้ย่อท้อ ออกเดินทางและ ปฎิบัติตามที่นางสั่งทุกประการ พระสุธนเดินทางเช่นนี้เป็นเวลาถึงเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็มาถึงเขาไกรลาส พระสุธนจึงซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ต้นไม้ริมสระน้ำ ไม่ช้าก็มีนางกินนรีบริวารถือหม้อทองคำมาตักน้ำที่สระ พอถึงคนสุดท้ายพระสุธนก็ บันดาลให้นางยกหม้อทองคำไม่ขึ้น พระสุธนออกมาช่วยยกให้และได้แอบใส่ พระธำรงค์ลงในหม้อน้ำนั้น เมื่อนางกินรีบริวารสรงน้ำให้นางมโนห์ราถึงนางกินนรี คนสุดท้ายรดน้ำเหนือศีรษะนางมโนห์รา พระธำรงค์ก็หล่นลงมากับสายน้ำนาง มโนห์รายกมือขึ้นลูบหน้าแหวนธำรงค์ก็สวมเข้าที่นิ้วก้อยพอดี นางทราบทันทีว่า พระสุธนตามมาถึงแล้วจึงสอบถามนางกินรีที่มาทีหลัง นางกินรีเล่าว่าได้พบชายหนุ่ม ช่วยยกหม้อน้ำให้นางมโนห์รา จึงให้นางกินนรีดูแลพระสุธนและส่งเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องประดับไปให้ แล้วนางมโนห์ราก็นำความทูลพระบิดาและพระมารดา ท้าวทุมราชจึงให้พระสุธนมาเข้าเฝ้าและให้แสดงฝีมือยิงธนู ซึ่งเป็นที่ถูก พระทัยท้าวทุมราช แต่ก็ยังมีการทดสอบอีกขั้นหนึ่ง โดยให้พระธิดาทั้งเจ็ดพระองค์ แต่งกายงดงามเหมือนกันและมานั่งสลับกันอยู่ท้าวทุมราช จึงให้พระสุธนชี้ นางมโนห์ราให้ถูกต้องธิดาทั้งเจ็ดองค์เหมือนกันมาก จนพระสุธนจำนางมโนห์ราไม่ ได้ พระสุธนจึงตั้งสัจจาธิษฐานว่าถ้าในชาติก่อนไม่เคยคบหากับภรรยาของผู้อื่นมีจิต ใจมั่นคงที่นางคนเดียวแล้ว ขอให้จำนางได้พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นแมลงวันทอง บินรอบศีรษะนางมโนห์รา พระสุธนก็ชี้นางมโนห์ราได้ถูก ท้าวทุมราชมีความยินดีจัดงานอภิเษกพระสุธนกับนางมโนห์ราแล้วพระสุธน ก็ขอลาท้าวทุมราชพานางมโนห์รากลับไปเมืองปัญจาลนครพระอาทิตยวงศ์ดีพระทัย เป็นอย่างยิ่ง จัดการตบแต่งพระนครและทำการอภิเษกพระสุธนกับนางมโนห์รา ให้ครองราชสมบัติ เมืองปัญจาลนครสืบต่อไป





















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น